เลิฟแคร์ วิธีการเลือกอาหารสุนัขเลิฟแคร์เลือกตามประเภทอาหารสุนัขอาหารสุนัขเลิฟแคร์มีหลายประเภทให้เลือก โดยเราอาจเลือกตามความชอบของสุนัขหรือเลือกตามความเหมาะสมเพื่อใช้ในการฝึกน้องหมาก็ได้
เลิฟแคร์ อาหารสุนัข แต่ก่อนอื่น เราต้องมาดูถึงความแตกต่างของประเภทของอาหารสุนัขกันก่อน

ที่มา https://tailybuddy.com/brand/328/drluvcare
1. อาหารเม็ด เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมและเหมาะสมกับสุนัขทุกช่วงวัย โดยข้อดีของอาหารเม็ด คือ สามารถเก็บรักษาได้ง่าย
และยาวนาน โดยที่เราไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเน่าเสียหรือหมดอายุ เป็นการช่วยเจ้าของให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปในตัว นอกจากนี้ อาหารเม็ดยังช่วยทำให้สุขภาพฟันแข็งแรงและพัฒนาการเคี้ยวของสุนัขให้เป็นไปตามวัย ซึ่งอาหารสุนัข เลิฟแคร์
ชนิดเม็ดก็มีให้เลือกหลายสูตรทั้งสำหรับลูกสุนัข สุนัขพันธุ์เล็ก รวมถึงสุนัขโตเต็มวัย มาพร้อมรสชาติที่หลากหลายให้เลือก
รับรองว่าน้องหมาไม่เบื่อแน่นอน แต่อาหารเม็ดก็มีข้อเสียตรงที่ไม่เหมาะกับสุนัขที่กำลังป่วยและเบื่ออาหาร เนื่องจากอาหาร
เม็ดมีความแข็ง ทำให้กลืนยากหรือดูไม่น่ากินสำหรับสุนัขเหล่านั้น ทั้งยังอาจทำให้สุนัขมีภาวะขาดน้ำ หากร่างกายได้รับน้ำไม่
เพียงพอต่อวัน ดังนั้น หากบ้านใครที่เลี้ยงน้องหมาด้วยอาหารชนิดเม็ด อย่าลืมหมั่นตรวจเช็กสุขภาพของสุนัขเป็นประจำด้วย

ที่มา https://tailybuddy.com/brand/328/drluvcare
2. อาหารเปียก เป็นประเภทอาหารสุนัขที่หลายคนนิยมซื้อ เพราะดูน่ากินและสุนัขเองก็ค่อนข้างชื่นชอบ ข้อดีของอาหารเปียก คือ สุนัขสามารถกินและเคี้ยวง่ายกว่าแบบเม็ด เพราะเนื้ออาหารนุ่มและก็มีความเปียกๆ สามารถกลืนได้ง่าย เหมาะสำหรับลูก
สุนัขหรือสุนัขที่มีปัญหาในช่องปาก ทั้งยังช่วยให้สุนัขเจริญอาหารและช่วยให้สุนัขได้รับปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อร่างกาย เนื่องจากอาหารเปียกมีส่วนประกอบของน้ำสูง
อย่างไรก็ตาม อาหารเปียกอาจส่งผลให้ลูกสุนัขมีพัฒนาการของฟันผิดปกติได้ เพราะไม่ได้กัดหรือเคี้ยวของแข็งตามธรรมชาติ
และพัฒนาการของพวกเขา แถมยังมีข้อเสียในเรื่องของการเก็บรักษาอีกด้วย เนื่องจากอาหารเปียกเก็บรักษาได้ไม่นานและเน่า
เสียง่าย อาหารสุนัขชนิดเปียก มีรูปแบบของบรรจุภัณฑ์ทั้งแบบซองที่ฉีกง่ายและแบบกระป๋องที่สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ให้ผู้บริโภคเลือกซื้อตามความต้องการและความเหมาะสม
เลือกตามช่วงการเจริญเติบโตของสุนัข
ด้วยความที่สุนัขในแต่ละช่วงวัยมีความต้องการด้านสารอาหารที่แตกต่างกัน อาหารสุนัขจึงถูกผลิตออกมาให้มีหลายสูตร ทั้งสูตรสำหรับลูกสุนัข สำหรับแม่สุนัข, สำหรับสุนัขโตเต็มวัย หรือสุนัขสูงวัย ซึ่งเจ้าของสุนัขบางคนอาจยังไม่มีความรู้
หรือความเข้าใจในจุดนี้มากพอ ดังนั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้อาหารกับน้องหมา เรามาดูข้อมูลในจุดนี้ไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

ที่มา https://tailybuddy.com/brand/328/drluvcare
- – สุนัขวัยกำลังโตระยะแรก (อายุ 2 – 4 เดือน) : ขอแนะนำให้เลือกอาหารคุณภาพสูงและเป็นสูตรสำหรับลูกสุนัขโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังพัฒนาและเจริญเติบโต สุนัขจึงต้องการสารอาหารและพลังงานสูงกว่าวัยอื่น ๆ รวมถึงควรให้อาหารเม็ดเป็นหลักและไม่ควรให้อาหารดิบ เนื่องจากภูมิคุ้มกันของน้อง ๆ ยังไม่แข็งแรงมากพอ
- – สุนัขวัยกำลังโตระยะหลัง : ในวัยนี้เจ้าของควรคำนึงถึงปริมาณของสารอาหารตามสายพันธุ์ของสุนัขด้วยเช่น หากเป็นสุนัขพันธุ์ที่ตัวใหญ่เ ราขอแนะนำให้เลือกอาหารสูตรสำหรับสุนัขโตเต็มวัยให้กับพวกเขาเลยเพราะสุนัขสายพันธุ์นี้จะเติบโตเร็วกว่าสุนัขพันธุ์อื่น ๆ จึงต้องการสารอาหารแบบเดียวกันกับสุนัขโตเต็มวัยนั่นเอง นอกจากนี้ คุณยังควรหาขนมให้น้องหมาในวัยนี้เคี้ยวด้วย เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเขี้ยวและฟันให้แข็งแรง โดยคุณอาจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ขนมสุนัข ให้กับพวกเขาร่วมด้วยก็ได้
- – สุนัขโตเต็มวัย : การเลือกอาหารสำหรับสุนัขโตเต็มวัยนั้น เราสามารถเลือกอาหารชนิดเม็ดหรือชนิดเปียกสูตรสำหรับสุนัขในวัยนี้โดยเฉพาะได้เลย แต่ควรจำกัดปริมาณการให้ต่อวันไม่เกิน 2 มื้อ อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการให้ความดูแลกับสุนัขเป็นพิเศษ เราขอแนะนำให้ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมด้วย เพราะตามหลักแล้ว อาหารที่สุนัขโตเต็มวัยแต่ละสายพันธุ์ควรได้รับจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะหากเป็น
สุนัขที่มีโรคประจำตัวต่าง ๆ ร่วมด้วยก็ยิ่งต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ
– สุนัขในวัยชรา (อายุ 7 ปีขั้นไป) : สุนัขในวัยนี้มีความต้องการที่พิเศษกว่าในวัยอื่น ๆ เนื่องจากการที่ระบบของร่างกายเริ่มเสื่อมลง และทำงานได้ไม่เต็มที่ สูตรอาหารที่เหมาะสำหรับพวกเขาจึงต้องมีปริมาณของไขมันและโซเดียมต่ำ แต่มีส่วนผสมของกากใยอาหารสูง เพื่อควบคุมน้ำหนัก ลดการทำงานของไตและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี นอกจากนี้ ยังควรเสริมการบำรุงด้วยกรดไขมันโอเมก้า เพื่อดูแลเรื่องเส้นขนและผิวหนัง ให้มีความนุ่มและสลวยอยู่ตลอดด้วยเช่นกันนอกจากคนแล้ว สุนัขก็สามารถแพ้อาหารได้เช่นกันค่ะ ซึ่งจุดนี้เป็นเรื่องที่เจ้าของควรจะใส่ใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากน้องหมาพูดไม่ได้ หากเราไม่ทันได้ใส่ใจอาจจะยิ่งทำให้เป็นอันตรายมากขึ้น เราจึงควรสังเกตพฤติกรรมของพวกเขาอยู่ตลอด เพราะหากปล่อยไว้นานอาจเป็นอันตรายต่อตัวสุนัขได้ สำหรับอาการแพ้ของสุนัขนั้นอาจเกิดขึ้นเป็นผื่นแดงหรืออาการคันที่ผิวหนัง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย แต่บริเวณที่มักจะแสดงอาการมากเป็นพิเศษ คือ ใบหู, อุ้งเท้า, ท้องและบริเวณสะโพก นอกจากนี้ สุนัขอาจมีอาการท้องเสียหรืออาเจียนร่วมด้วยได้ ส่วนใหญ่สาเหตุการแพ้มักมาจากส่วนผสมในอาหาร เช่น โปรตีนจากเนื้อสัตว์หรือสารปรุงแต่งในอาหาร โดยวิธีการรักษา คือการเปลี่ยนชนิดของอาหาร ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการแพ้เป็นเรื่องที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยหลีกเลี่ยงการให้สุนัขกินอาหารชนิดเดิมติดกันเกิน 2 ปี และเมื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนชนิดอาหาร เราขอแนะนำให้ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยน รวมถึงต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของสุนัขหลังจากเปลี่ยนอาหารด้วย

ที่มา https://tailybuddy.com/brand/328/drluvcare
อาหารสุนัขคุณภาพพรีเมียม รสตับ
- – อาหารลูกสุนัข ดร.เลิฟแคร์ ได้รับการกำหนดมาตรฐานสูตรให้มีคุณค่าของสารอาหารตามมาตรฐานที่กำหนดโดยสมาคม
- ควบคุมอาหารสัตว์อเมริกา (AAFCOX)
- – ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของลูกสุนัข
- – วัตถุดิบคุณภาพสูง ย่อยง่าย เพื่อระบบขับถ่ายที่สมบูรณ์แข็งแรง
- – โปรตีนคูณภาพดี ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- – แคลเซียมและฟอสฟอรัสช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและฟันและลดความเสี่ยงจากภาวะไข้น้ำนมในแม่สุนัข
- – กรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6 ช่วยบำรุงให้ผิวหนังและขนมีสุขภาพที่ดีและเงางาม
เทคนิคการเปลี่ยนอาหาร
เพื่อการปรับตัวที่ดีของสุนัขควรเริ่มจากการเพิ่มอาหารสุนัข ดร.เลิฟแคร์ในปริมาณเล็กน้อยและเพิ่มปริมาณมากขึ้นจนเหลือแต่อาหารสุนัข ดร.เลิฟแคร์ เพียงอย่างเดียวภายใน 5-7 วัน

ที่มา https://tailybuddy.com/brand/328/drluvcare
สำหรับสุนัขโต อายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
- – น้ำหนักเมื่อโตเต็มวัย ไม่เกิน 10 กก.
- – อุดมด้วยกรดโอเมก้า3 และ6 ช่วยบำรุงผิวหนังและขนให้มีสุขภาพดี เงางาม
- – High Quality Ingredients ทำจากวัตถุดิบคุณภาพสูง ช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย ให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้อย่างเต็ม
- – วัตถุดิบประกอบด้วยสารสกัดยัคค่า ช่วยลดกลิ่นมูล
- – Essential nutrition ครบถ้วนด้วยสารอาหารจำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง สมส่วน
- -แคลเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ กระดูกและฟัน